วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

ดาบสองมือ

กีฬาฟันดาบไทย

กีฬาฟันดาบไทย เป็นกีฬาไทย ที่พัฒนามาจากกระบี่-กระบอง โดยท่านนาวาตรีจรูญ ไตรรัตน์คิดค้นดัดแปลงแก้ไขจากการแสดง วิวัฒนาการมาเป็นเกมการต่อสู้เพื่อการแข่งขัน ซึ่งเริ่มแรกได้มีการเล่นกันในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนมีการแข่งชิงตำแหน่ง “ขุนพลจุฬาฯ” เกิดขึ้น และได้รับความสนใจจากนิสิต นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนมีการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย

การเล่นกีฬาดาบไทย

การเล่นกีฬาดาบไทย ประเภทกระบี่และดาบสองมือเพื่อการแข่งขัน

ให้นักกีฬาทั้งสองฝ่าย ถือกระบี่หวาย ฝ่ายละ 1 เล่ม ถ้าเป็นดาบสองมือให้ถือดาบ 2 มือหุ้มนวม ฝ่ายละ 2 เล่ม อาวุธทั้งสองชนิด ให้เป็นไปตามแบบ และขนาดที่กำหนดไว้ในกติกา

การปฏิบัติตนของนักกีฬาก่อนเริ่มทำการแข่งขัน

เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกนักกีฬาลงสนามแข่งขัน ให้นักกีฬาทั้งสองฝ่ายมายืนอยู่กลางสนามต่อหน้ากรรมการผู้ตัดสิน นักกีฬาทั้ง 2 ฝ่ายทำความเคารพกรรมการผู้ตัดสิน และคู่ต่อสู้ โดยการไหว้ ตามแบบขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย แล้วแยกกันออกไปยืนจรดดาบห่างกัน (นอกระยะดาบ) คอยฟังกรรมการผู้ตัดสินออกคำสั่งให้เริ่มการต่อสู้

การต่อสู้ของนักกีฬา

เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมทำการต่อสู้ กรรมการผู้ตัดสินจะออกคำสั่งให้นักกีฬาต่อสู้กัน โดยคู่ต่อสู้มีสิทธิ์ที่จะใช้อาวุธฟันเข้าตามร่างกายทุกส่วนของคู่ต่อสู้ เช่น ศีรษะ แขน ขา ลำตัว เป็นต้น การฟันดังกล่าวจะต้องไม่เป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ โดยขาดหลักวิชาการต่อสู้ ขาดเหตุผล ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่คู่ต่อสู้ อันเป็นการผิดวิสัยของนักกีฬาฟันดาบ นอกจากนี้การเข้าไปฟันคู่ต่อสู้ จะต้องระวังการตอบโต้จากคู่ต่อสู้ด้วยการปิดป้องอาวุธฝ่ายตรงข้าม เพื่อป้องกันตัวเองให้ได้ด้วย

การได้เสียคะแนนของนักกีฬา

ฝ่ายที่ถูกคู่ต่อสู้เข้าฟันโดนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วไม่สามารถโต้ตอบกลับไปโดนร่างกายคู่ต่อสู้ได้ทันที ให้เป็นฝ่ายเสียคะแนน 1 คะแนน

การนับคะแนนแพ้ชนะ

  1. นักกีฬาฝ่ายใดเสียคะแนนน้อยกว่า ในระยะเวลาที่กำหนด เป็นฝ่ายชนะ
  2. นักกีฬาฝ่ายใดเสียคะแนนถึง 5 คะแนน ก่อนหมดเวลาการแข่งขันที่กำหนดให้เป็นฝ่ายแพ้

เวลาที่ใช้ทำการแข่งขัน

  1. นักกีฬาชาย ใช้เวลาแข่งขัน 3 นาที
  2. นักกีฬาหญิง ใช้เวลาแข่งขัน 3 นาที

การทำหน้าที่ของคณะกรรมการตัดสิน

การแข่งขันแต่ละครั้ง จะมีกรรมการผู้ตัดสิน และกรรมการผู้ช่วยผู้ตัดสินดังนี้
  1. กรรมการผู้ตัดสิน 1 คน เป็นผู้ออกคำสั่งให้นักกีฬาเริ่มทำการต่อสู้ และหยุดทำการต่อสู้ เมื่อจะทำการวินิจฉัยการเข้าฟันคู่ต่อสู้ และตัดสินชี้ขาดการให้คะแนนแก่นักกีฬา
  2. กรรมการผู้ช่วยผู้ตัดสินจำนวน 4 คน เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้ตัดสินโดยให้คำปรึกษาแก่กรรมการผู้ตัดสิน หลังจากการสั่งหยุดการต่อสู้ เพื่อวินิจฉัยผลการตัดสินแต่ละครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยดูแลการออกนอกวงของนักกีฬาทั้งคู่ ความบกพร่องของอาวุธขณะทำการต่อสู้ การแต่งกายของนักกีฬาเป็นต้น
  3. กรรมการเทคนิค เป็นผู้ควบคุมการชีแจงคะแนผ่านกระดานบอกคะแนน รวบรวมข้อมูลและผลของการแข่งขันแต่ละรอบ เพื่อนำไปจัดการแข่งขันในรอบถัดไป รวมไปถึงชี้แจงและให้คำปรึกษาในกรณีเกิดปัญหาขณะการแข่งขัน

พัฒนากีฬาดาบไทย

นับจากการแข่งชิงตำแหน่ง “ขุนพลจุฬาฯ” กีฬาฟันดาบไทย ได้พัฒนามาเป็นลำดับดังนี้
เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ “ในปีพุทธศักราช 2506 สำนักดาบศรีไตรรัตน์ ร่วมกับมูลนิธิจัดหาอุปกรณ์การศึกษาสำหรับเด็ก ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญา ได้จัดการแข่งขันฟันดาบไทยระหว่างมหาวิทยาลัยขึ้น ณ สนามกีฬาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 มกราคม โดยหม่อมดุษฎี บริพัตร ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จทอดพระเนตร และพระราชทานถ้วยรางวัลแก่นักกีฬา โดยมีอาจารย์ทองหล่อ ไตรรัตน์ เป็นผู้ถวายคำอธิบายระหว่างการแข่งขัน และด้วยความสนพระทัย เมื่อจบการแข่งขัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีรับสั่งว่า “ให้รักษากีฬานี้ไว้ อย่าทอดทิ้ง” นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ศิลปะกีฬานี้จึงยังคงอยู่มาตราบเท่าทุกวันนี้”

ประวัติความเป็นมาของการเล่นกระบี่กระบอง 

              การเล่นกระบี่กระบองเป็นพื้นฐานเบื้องต้นส่วนหนึ่งของศิลปะการต่อสู้ของไทย ที่เรียกว่า กระบี่กระบอง การเล่นกระบี่กระบองเป็นกีฬาที่บรรพบุรุษไทยนำเอาศิลปการต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยอาวุธที่ใช้สู้รบกันในสมัยโบราณ มาฝึกซ้อมและเล่นในยามสงบ โดยนำหวายมาทำเป็นกระบี่ ดาบ ง้าว ฯลฯ เอาหนังมาทำโล่ เขน ดั้ง ฯลฯ แล้วจัดมาตีต่อสู้กันเล่นหรือแข่งขันกันเป็นคู่ๆ ดุจสู้กันในสนามรบเป็นการฝึกหัดรุกและรับไปในตัว


            การ เล่นกระบี่กระบองเริ่มในสมัยใด ใครเป็นผู้คิดขึ้นไม่สามารถหาหลักฐานได้ เนื่องจากได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน แต่เนื่องด้วยไทยเราเป็นชาตินักรบมาแต่โบราณ กระบี่กระบองซึ่งเป็นกีฬาของนักรบจึงน่าจะได้มีการเล่นกันมาเป็นเวลาช้านาน ควบคู่กับชนชาติไทย ในสมัยรัตนโกสินทร์มีหลักฐานที่พออ้างอิงได้คือ วรรณคดี ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 2 ในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา กล่าวถึงอิเหนาชำนาญในการกระบี่ ในรัชกาลที่ 3 สุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณี กล่าวถึงศรีสุวรรณเล่าเรื่องกระบี่กระบองกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์

              ใน รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดปรานกระบี่กระบองมาก ทรงโปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ทรงหัดกระบี่กระบองจนครบวงจร และโปรดให้เล่นกระบี่กระบองเป็นการสมโภชที่หน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดา ราม เนื่องในการทรงผนวชเป็นสามเณรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อใน พ.ศ. 2409

            ในรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้มีการเล่นกระบี่กระบอง และชกมวยไทยหน้าพระที่นั่งในงานสมโภชอยู่เนืองๆ กระบี่กระบองมีกันดาษดื่นและมากคณะ

           ในรัชกาลที่ 6 ความครึกครื้นในการเล่นกระบี่กระบองลดน้อยลง เพราะไม่ทรงโปรดเท่ารัชกาลที่ 5

           ใน รัชกาลที่ 7 กระบี่กระบองค่อยๆ หมดไปจนเกือบหาดูไม่ได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันกับความเจริญก้าวหน้าของโลกอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนทั่วไปมุ่งในเรื่องเศรษฐกิจ สังคมมากขึ้น

            ต่อมา อาจารย์นาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้เป็นผู้นำวิชากระบี่กระบองบรรจุไว้ในหลักสูตรประโยค ผู้สอนพลศึกษา ในปีพ.ศ.2479 และเป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องในฐานะผู้อนุรักษ์ฟื้นฟูและถ่ายทอด ศิลปการต่อสู้ประเภทนี้ ในปี พ.ศ.2518 ได้มีการจัดให้วิชากระบี่กระบองเป็นวิชาบังคับในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและใน ปี พ.ศ.2521 เป็นวิชาบังคับในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จึงยังคงมีการเรียนการสอนอยู่ทุกวันนี้


คุณค่าของวิชากระบี่กระบอง

 วิชา กระบี่กระบองเป็นศิลปการต่อสู้ป้องกันตัวประจำชาติที่สามารถช่วยให้เรา ปลอดภัยในยามคับขันและรักษาเอกราชอยู่ได้ สำหรับในปัจจุบันกิจกรรมกระบี่กระบองแสดงถึงความสามารถของคนไทยที่ยังรักษา มรดกทางวัฒนธรรมไทยได้มั่นคง

ประโยชน์ของวิชากระบี่กระบอง

1. สามารถใช้ต่อสู้และป้องกันตัวในยามคับขันได้ 2. ช่วยสร้างเสริมสมรรถภาพทางร่างกาย 3. ช่วยเสริมสร้างคุณลักษณะทางด้านจิตใจ เช่น ความกล้าหาญ ความอดทน ความไม่ขลาดกลัวต่ออันตราย และรู้จักช่วยเหลือตนเอง 4. เป็นการเสริมสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในศิลปการต่อสู้ป้องกันตัวประจำชาติ 5. เป็นการรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย 6. เป็นการฝึกนิสัยและฝึกจิตใจให้เป็นคนดีมีศีลธรรม


ประเด็นคำถาม
 1. การสร้างความรู้กับประวัติกระบี่กระบองมีผลดีอย่างไร
 2. นักเรียนคิดว่าการเล่นกระบี่กระบองให้ประโยชน์ต่อร่างกายคนเราอย่างไร
 3. นักเรียนบอกได้ไหมว่าประโยชน์ของการเล่นกระบี่กระบองมีอะไรบ้าง


กิจกรรมเสนอแนะ
1. ให้นักเรียนไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในห้องสมุดโรงเรียนหรืออินเตอร์เน็ต
2. จัดนิทรรศการ หรือจัดบอร์ดเกี่ยวกับกีฬากระบี่กระบอง


การบูรณาการกับกลุ่มสาระอื่นๆ
1. ภาษาไทย การอ่านจับใจความ การสรุปบทความ 2. วิทยาศาสตร์ ระบบการไหลเวียนโลหิตและการเต้นของหัวใจ
 3. คณิตศาสตร์ การคำนวณเวลาในอดีตจนถึงปัจจุบัน
4. สุขศึกษาและพลศึกษา (สุขศึกษา) อาหารและโภชนาการสนองต่อการเล่นกระบี่กระบอง

      

              กระบอง หมายถึง พวกยักษ์ที่พกกระบองเป็นอาวุธ ยักษ์มีรูปร่างใหญ่โต เคลื่อนไหวช้า เพราะฉะนั้นการจัดระเบียบเรียกแยกประเภท อาวุธที่ใช้แสดงต่อสู้ป้องกันตัวน่าจะมาจากการแยกฝ่ายยักษ์และลิง โดย ถือว่าลิงรูปร่างเล็กและผู้พากย์โขนมักเรียกขนานนามว่า ขุนกระบี่ ซึ่งหมายถึง หนุมานหัวหน้าลิง ซึ่งมีตรีหรือสามง่ามสั้นพกเป็นอาวุธประจำกาย และพลลิงตัวอื่น ๆ พกอาวุธสั้น เช่น พระขรรค์ เป็นต้น 

        ฉะนั้นคำว่า "กระบี่" จึงถูกนำมาเป็นคำเรียกแยกให้รู้ว่าอาวุธสั้นทั้ง หลายจะรวมเรียกว่า กระบี่ ซึ่งมี ดาบ โล่ ดั้ง เขน ไม้ศอกสั้น มีดสั้น พระขรรค์ เคียว ขวาน ตรี สามง่ามสั้น และ สีโหล่ 

         “กระบอง" มาจาก ยักษ์ ที่ถือกระบองเป็นอาวุธยักษ์รูปร่างใหญ่โตและ การเคลื่อนไหวไม่ไวเท่าลิง อาวุธนี้จึงถูกจัดเรียกว่า กระบอง ไม่ว่าสั้นหรือยาวเป็นหัวหน้า ให้ความหมายรวมเป็นของยาวทั้งมวล ถ้าพูดตามความ จริงแล้วการเคลื่อนไหวการต่อสู้จะทำได้ดีซึ่งส่วนมากจะเป็นวงนอก ส่วนของสั้นจะทำได้ทั้งวงนอกและวงใน 

        ฉะนั้นคำว่า “กระบอง“ จึงถูกแยกเรียกเป็นที่รวมของอาวุธยาวที่ใช้แสดงทั้งหมด เช่น พลอง กระบอง ง้าวทุกชนิด โตมร ทวน หอก เป็นต้น 

        การเรียกกระบี่กระบองยังมีหลักฐานให้เห็นชัดในเรื่องอาวุธที่นิยมใช้แสดงและเล่นกัน คือ คู่ของไม้ศอกสั้นกับพลอง นั่นคือความหมายที่ถูกจัดให้เห็นว่า อาวุธสั้นคือลิง ผู้แสดงจะแสดงถึงหลักวิชาความคล่องแคล่วว่องไว ส่วนพลองหรือกระบองคือตัวแทนของยักษ์เป็นประเภทอาวุธยาว 


              เครื่องกระบี่กระบอง มีอยู่ ๒ ชนิด

        คือ เครื่องไม้รำ กับเครื่องไม้ตี ทั้ง ๒ ชนิดนี้เป็นอาวุธจำลอง ส่วนมากทำมาจากหวาย มีความเหนียวและเบามือ เครื่องไม้รำนั้นลงรักปิดทองประดับกระจกอย่างสวยงาม ส่วนเครื่องไม้ตีไม่ได้ตกแต่งอะไร 

         กระบี่ เครื่องไม้รำทำด้วยหวายหรือเอ็นสัตว์ถักเป็นปลอก สวมแกนโลหะที่ยาวตลอดลงไปถึงด้ามด้วย ตอนปลายเป็นหวายหรือเอ็นถึกคล้ายหางกระเบน มักจะลงรักให้แข็ง บางทีทาสีแดงตลอด ด้ามมีโกร่งกันมือ ส่วนเครื่องไม้ตีนั้นทำอย่างเดียวกันแต่ไม่ตกแต่งอะไร 

         กระบองหรือพลอง เครื่องไม้รำทำด้วยหวายหรือไม้จริงลงรักปิดทอง เขียนลายรดน้ำหรือทาสีแดงตลอด ไม่มีโลหะประกอบอยู่ด้วยเลย บางทีก็ประดับกระจกอย่างกระบองของเจ้าเงาะในละครรำ เครื่องไม้ตีทำด้วยไม้รากไทรหรือหวายขนาดใหญ่ ลงรักดำหรือทาสีแดงตลอด ตอนปลายทั้งสองข้างใช้เชือกขนาดเล็กพันไว้ 

         ดาบ เช่นเดียวกับกระบี่ แต่ไม่มีโกร่งกันมือ เครื่องไม้รำทำสวยงามมากดูคล้ายมีฝักอยู่ด้วย ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วยหวายเพื่อให้สามารถตีได้ไม่หัก การใช้ดาบนั้น มีทั้งดาบเดี่ยว ดาบคู่ ดาบกับดั้ง ดาบกับเขนดาบกับโล่แล้วแต่จะกำหนด 

         ง้าว เครื่องไม้รำประดิษฐ์ตกแต่งสวยงามมาก ทำด้วยไม้จริง มีลักษณะใกล้เคียงกับง้าวของจริงมาก ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วยหวาย ไม่มีการตกแต่งอย่างใด 




       วิธีแสดง

        การเล่นกระบี่กระบอง มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ประเภทแสดง กับประเภทแข่งขัน 

ประเภทแสดง - เป็นการเล่นของนักกระบี่กระบองในคณะเดียวกัน จึงเป็นไปอย่างรู้เชิงกันหรือนัดหมายกันไว้อย่างดี ตามภาษากระบี่กระบอง เรียกว่า "รู้ไม้" กันอยู่แล้ว 

ประเภทแข่งขัน - ต่างคณะจะลงประอาวุธกัน มีรสชาติขึ้นมาก เพราะสุดแต่ว่า ใครที่มาจากคณะใดจะมีความสามารถมากกว่ากัน 

        การเล่นกระบี่กระบองที่ครบกระบวนการ จะต้องมีวงปี่ชวาและกลองแขก เสียงปี่เสียงกลองทำให้เกิดความคึกคักขึ้นทั้งผู้แสดงและผู้ดู ในวงปี่ชวา ๑ เลา กลองแขก๒ ลูก ฉิ่ง ๑ คู่ 

         สถานที่แสดง ได้แก่ ลานกว้างๆ พอที่จะให้ผู้แสดงได้ต่อสู้กันได้ไม่คับแคบนัก ก่อนจะลงมือแสดงจะต้องไหว้ครูกันก่อน จากนั้นก็ถึงการต่อสู้ ปี่ชวาจะขึ้นเพลงเร่งเร้าฟังคึกคัก แตกต่างออกไปจากเพลงไหว้ครู โดยคู่ต่อสู้จะต้องรำอาวุธก่อน ซึ่งเป็นการรำที่ผสมกันระหว่างแบบนาฏศิลป์ กับแบบเฉพาะของแต่ละคณะหรือแต่ละสำนัก เป็นการอวดความสวยงามกัน ตอนรำอาวุธนี้ จะใช้ไม้รำซึ่งขัดทำอย่างประณีตงดงามมาก ท่ารำที่ถือว่าเป็นแบบอย่างของกระบี่กระบอง มี "ขึ้นพรหม" เป็นการรำโดยหันไปสี่ทิศ แล้วก็ถึงท่า "คุม" ตามแบบฉบับคือ รำลองเชิงกันโดยต่างฝ่ายต่างรุกล้ำเข้าไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง จากนั้นก็เป็นท่า "เดินแปลง" โดยการสังเกตดูเชิงกันและกัน แล้วจำไว้ว่าใครมีจุดอ่อนที่ใดบ้าง แล้วจึงคุกเข่า "ถวายบังคม" คือ กราบ ๓ ครั้ง จากนั้น จึงเปลี่ยนเครื่องไม้รำมาเป็นเครื่องไม้ตี 

         นักกระบี่กระบองจะต้องสวมมงคลที่ทำด้วยด้ายดิบพันเป็น เกลียว มีขนาดใหญ่เท่าเชือกมนิลา ใช้ผ้าเย็บหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ปล่อยปลายทั้งสองยื่นออก ส่วนเครื่องแต่งกายนั้นขึ้นอยู่กับความนิยม สมัยโบราณแต่งกายอย่างทหาร หรือนุ่งโจงกระเบนแบบหยักรั้ง คาดผ้าประเจียด ตะกรุด หรือนุ่งกางเกงขาสั้น การแสดงก็จะเริ่มจากการจับอาวุธต่อสู้กันเป็นคู่ๆ เช่น กระบี่กับกระบี่ พลองกับพลอง ง้าวกับง้าว พลองกับไม้สั้น จากนั้นก็สุดแต่จะยักเยื้องใช้อาวุธต่างๆ ในที่สุดก็เป็นการตะลุมบอนหรือหลายคู่ หรือการต่อสู้แบบ "สามบาน" คือ คนหนึ่งต่อสู้กับอีก ๒ คน 

         พลงที่ใช้นั้น เพื่อความเหมาะสมกับการร่ายรำอาวุธแต่ละอย่าง ก็มักจัดเพลงขึ้นตามความเหมาะสม เช่น กระบี่ ใช้เพลงกระบี่ลีลา ดาบสองมือ ใช้เพลงจำปาเทศหรือขอมทรงเครื่อง ง้าวใช้เพลงขึ้นม้า พลองใช้เพลงลงสรงหรือขึ้นพลับพลา การต่อสู้สามบาน ใช้เพลงกราวนอกหรือเพลงฝรั่งรำเท้า 


     ประโยชน์ของการฝึก

• เพื่อให้จิตใจฮึกเหิม มีความกล้า 
• เพื่อให้ได้ความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ 
• เพื่อให้จิตใจแข็งแกร่ง กล้าตัดสินใจ 
• เพื่อทดสอบฝีมือเข้าอาสารับใช้ประเทศชาติ โดยการประลองฝีมือกัน

กระบี่กระบอง จัดเป็นการเล่นกีฬาประเภทหนึ่ง ที่จัดให้มีท่าไม้รำประเภทต่าง ๆ นักเรียนจะต้องศึกษาและฝึกทักษะการรำให้ได้  


ภาพจาก..www.suriyothai.ac.th/node

กลุ่มสาระการเรียนรู้                    สุขศึกษาและพลศึกษา ช่วงชั้นที่ 3 ( ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3)

                         สาระที่ 3 :  การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย  เกม  กีฬาไทย และกีฬาสากล
                         มาตรฐาน พ 3.1:  เข้าใจ มีทักษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกมและกีฬา
                         มาตรฐาน พ 3.2: รักการออกกำลังกาย การเล่นเกม และการเล่นกีฬา  ปฏิบัติเป็นประจำ 
                                                 อย่างสม่ำเสมอ  มีวินัย  เคารพสิทธิ กฎ กติกา  มีน้ำใจนักกีฬา  มีจิตวิญญาณ
                                                 ในการแข่งขัน  และชื่นชมในสุนทรียภาพของการกีฬา
ผลการเรียนรู้ที่คาดหว้ง
      1.สามารถอธิบายและปฏิบัติทักษะการรำไม้รำที่ 3
      2.สามารถตระหนักและปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหวการรำไม้รำที่ 3

เนื้อหาสาระ
ไม้รำที่ 3 เหน็บข้าง ( เดินตรง )
• ก้าวเท้าซ้ายตรงไปข้างหน้า 1 ก้าว โล้ตัวไปข้างหน้า

• ลากเท้าขวาชิดเท้าซ้าย ยกเท้าซ้ายขึ้น
• มือซ้ายรำหน้า 
• วางเท้าซ้ายลง มือซ้ายมาจีบไว้ที่อก หมุนตัวกลับหลังทางขวา
• หมุนข้อมือ บิดไปทางขวา ให้โกร่งกระบี่อยู่นอกกระบี่เฉียงลง 45 องศา แขนขวาชิดข้างหู งอแขนเล็กน้อย หน้าก้ม โล้ตัวไปข้างหน้า
• ลากเท้าซ้ายชิดเท้าขวา ยกเท้าขวาขึ้น

• หมุนตัวกลับหลังหันทางขวา ขณะที่ยกเท้าขวาอยู่โดยใช้เท้าซ้ายเป็นหลัก วางเท้าขวาลง
• ลดกระบี่ลงอยู่ข้างเอวทางซ้าย ฝ่ามือซ้ายทาบกระบี่ โกร่งกระบี่หัน ลงสู่พื้น ปลายกระบี่ชี้ลง โล้ตัวไปข้างหน้า

• ลากเท้าซ้ายชิดเท้าขวา ยกเท้าขวาขึ้น
• วางเท้าขวาลง วาดกระบี่ขนานพื้นไปทางขวา มือซ้ายจีบไว้ที่อก อยู่ในท่าคุมรำ


ประเด็นคำถาม
        1. การสร้างเสริมสุขภาพทางกายในการเล่นกระบี่กระบองมีผลดีอย่างไร
        2. นักเรียนคิดว่าท่ารำของกระบี่กระบองให้ประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไร
        3. นักเรียนบอกได้ไหมว่าการเล่นกระบี่กระบองมีผลกระทบกับร่างกายดีอย่างไร
      
กิจกรรมเสนอแนะ 
        1. ให้นักเรียนไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในห้องสมุดโรงเรียนหรืออินเตอร์เน็ต
        2. จัดนิทรรศการ หรือจัดบอร์ดเกี่ยวกับท่าไม้รำของกระบี่กระบอง
        
การบูรณาการกับกลุ่มสาระอื่นๆ
        1. ภาษาไทย     การอ่านจับใจความ  การสรุปบทความ
        2. วิทยาศาสตร์  ระบบการไหลเวียนโลหิตและการเต้นของหัวใจ
        3. คณิตศาสตร์   การคำนวณเวลาในขณะเคลื่อนไหวของท่าไม้รำ
        4. สุขศึกษาและพลศึกษา (สุขศึกษา) อาหารและโภชนาการสนองต่อการอออกำลังกาย

กระบี่กระบอง จัดเป็นการเล่นกีฬาประเภทหนึ่ง ที่จัดให้มีท่าไม้รำประเภทต่าง ๆ นักเรียนจะต้องศึกษาและฝึกทักษะการรำให้ได้ 

ภาพจาก..www.suriyothai.ac.th/node

กลุ่มสาระการเรียนรู้                    สุขศึกษาและพลศึกษา ช่วงชั้นที่ 3 ( ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3)

                         สาระที่ 3 :  การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย  เกม  กีฬาไทย และกีฬาสากล
                         มาตรฐาน พ 3.1:  เข้าใจ มีทักษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกมและกีฬา
                         มาตรฐาน พ 3.2: รักการออกกำลังกาย การเล่นเกม และการเล่นกีฬา  ปฏิบัติเป็นประจำ
                                                 อย่างสม่ำเสมอ  มีวินัย  เคารพสิทธิ กฎ กติกา  มีน้ำใจนักกีฬา  มีจิตวิญญาณ
                                                 ในการแข่งขัน  และชื่นชมในสุนทรียภาพของการกีฬา
ผลการเรียนรู้ที่คาดหว้ง
      1.สามารถอธิบายและปฏิบัติทักษะการรำไม้รำที่ 1
      2.สามารถตระหนักและปฏิบัติทักษะการเคลื่อนไหวการ
รำไม้รำที่ 1

เนื้อหาสาระ

ไม้รำที่ 1 ลอยชาย (เดินสลับฟันปลา)
 มือซ้ายจีบที่หน้าอก ก้าวเท้าขวาเฉียงไปทางขวา โล้ตัวไปข้างหน้าเข่าขวางอ เข่าซ้ายตึง กระบี่อยู่ทางขวา ขนานพื้น หงายมือ โกร่งกระบี่อยู่ด้านนอกแขนท่อนบนอยู่ชิดลำตัว ข้อศอกงอเป็นมุมฉาก
 ก้าวเท้าซ้ายเฉียงไปทางขวา โล้ตัวไปข้างหน้า เข่าซ้ายงอ เข่าขวาตึง 



 ลากเท้าขวาชิดเท้าซ้าย ยกเท้าซ้ายขึ้น เข่าซ้ายงอเป็นมุมฉาก ขาท่อนบนขนานพื้น เข่าขวาตึง
 มือซ้ายรำหน้า แล้วจีบไว้ที่หน้าอก 

 หมุนตัวต่อไปทางซ้าย 1 มุมฉาก วางเท้าซ้ายลงวาดกระบี่ขนานพื้นไปทางซ้ายไว้ข้างเอว โกร่งกระบี่อยู่ด้านนอก ก้าวเท้าขวาไปอีก 1 ก้าว โล้ตัวไปข้างหน้า
 ลากเท้าซ้ายชิดเท้าขวา ยกเท้าขวาขึ้น 
 มือซ้ายรำข้าง แล้วกลับมาจีบไว้ที่หน้าอก
 หมุนตัวไปทางขวา 1 มุมฉากวาดกระบี่ขนานพื้นไปทางขวา วางเท้า ขวาลง พลิกข้อมือหงาย อยู่ในท่าคุมรำ
ประเด็นคำถาม
        1. การสร้างเสริมสุขภาพทางกายในการเล่นกระบี่กระบองมีผลดีอย่างไร
        2. นักเรียนคิดว่าท่ารำของกระบี่กระบองให้ประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไร
        3. นักเรียนบอกได้ไหมว่าการเล่นกระบี่กระบองมีผลกระทบกับร่างกายดีอย่างไร
      
กิจกรรมเสนอแนะ 
        1. ให้นักเรียนไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในห้องสมุดโรงเรียนหรืออินเตอร์เน็ต
        2. จัดนิทรรศการ หรือจัดบอร์ดเกี่ยวกับท่าไม้รำของกระบี่กระบอง
        
การบูรณาการกับกลุ่มสาระอื่นๆ
        1. ภาษาไทย     การอ่านจับใจความ  การสรุปบทความ
        2. วิทยาศาสตร์  ระบบการไหลเวียนโลหิตและการเต้นของหัวใจ
        3. คณิตศาสตร์   การคำนวณเวลาในขณะเคลื่อนไหวของท่าไม้รำ
        4. สุขศึกษาและพลศึกษา (สุขศึกษา)  อาหารและโภชนาการสนองต่อการอออกำลังกาย

กระบี่กระบอง จัดเป็นการเล่นแบบกีฬาประเภทหนึ่ง ที่มักจัดให้แสดงเป็นการมหรสพในงานต่างๆ และยังเป็นการเล่นของไทยโดยแท้จริง เพราะไม่เคยปรากฏมีในประเทศใดในโลก เป็นกีฬามหรสพที่นิยมกันมาตังแต่โบราณ เป็นการฝึกหัดใช้อาวุธในยามสงบไปในตัว นับว่าเป็นการแสดงที่ทำให้ตื่นเต้น เร้าใจ มักแสดงในบริเวณที่กว้างๆ เช่น สนามหรือลานใหญ่ๆ ในวัด

เครื่องกระบี่กระบอง มีอยู่ ๒ ชนิด คือ เครื่องไม้รำ กับเครื่องไม้ตี ทั้ง ๒ ชนิดนี้เป็นอาวุธจำลอง ส่วนมากทำมาจากหวาย มีความเหนียวและเบามือ เครื่องไม้รำนั้นลงรักปิดทองประดับกระจกอย่างสวยงาม ส่วนเครื่องไม้ตีไม่ได้ตกแต่งอะไร

กระบี่ เครื่องไม้รำทำด้วยหวายหรือเอ็นสัตว์ถักเป็นปลอก สวมแกนโลหะที่ยาวตลอดลงไปถึงด้ามด้วย ตอนปลายเป็นหวายหรือเอ็นถึกคล้ายหางกระเบน มักจะลงรักให้แข็ง บางทีทาสีแดงตลอด ด้ามมีโกร่งกันมือ ส่วนเครื่องไม้ตีนั้นทำอย่างเดียวกันแต่ไม่ตกแต่งอะไร
กระบองหรือพลอง เครื่องไม้รำทำด้วยหวายหรือไม้จริงลงรักปิดทอง เขียนลายรดน้ำหรือทาสีแดงตลอด ไม่มีโลหะประกอบอยู่ด้วยเลย บางทีก็ประดับกระจกอย่างกระบองของเจ้าเงาะในละครรำ เครื่องไม้ตีทำด้วยไม้รากไทรหรือหวายขนาดใหญ่ ลงรักดำหรือทาสีแดงตลอด ตอนปลายทั้งสองข้างใช้เชือกขนาดเล็กพันไว้
ดาบ เช่นเดียวกับกระบี่ แต่ไม่มีโกร่งกันมือ เครื่องไม้รำทำสวยงามมากดูคล้ายมีฝักอยู่ด้วย ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วยหวายเพื่อให้สามารถตีได้ไม่หัก การใช้ดาบนั้น มีทั้งดาบเดี่ยว ดาบคู่ ดาบกับดั้ง ดาบกับเขน ดาบกับโล่ แล้วแต่จะกำหนด
ง้าว เครื่องไม้รำประดิษฐ์ตกแต่งสวยงามมาก ทำด้วยไม้จริง มีลักษณะใกล้เคียงกับง้าวของจริงมาก ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วยหวาย ไม่มีการตกแต่งอย่างใด


วิธีแสดง การเล่นกระบี่กระบอง มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ประเภทแสดง กับประเภทแข่งขัน
ประเภทแสดง - เป็นการเล่นของนักกระบี่กระบองในคณะเดียวกัน จึงเป็นไปอย่างรู้เชิงกันหรือนัดหมายกันไว้อย่างดี ตามภาษากระบี่กระบอง เรียกว่า "รู้ไม้" กันอยู่แล้ว
ประเภทแข่งขัน - ต่างคณะจะลงประอาวุธกัน มีรสชาติขึ้นมาก เพราะสุดแต่ว่า ใครที่มาจากคณะใดจะมีความสามารถมากกว่ากัน
การเล่นกระบี่กระบองที่ครบกระบวนการ จะต้องมีวงปี่ชวาและกลองแขก เสียงปี่เสียงกลองทำให้เกิดความคึกคักขึ้นทั้งผู้แสดงและผู้ดู ในวงปี่ชวา ๑ เลา กลองแขก ๒ ลูก ฉิ่ง ๑ คู่

สถานที่แสดง ได้แก่ ลานกว้างๆ พอที่จะให้ผู้แสดงได้ต่อสู้กันได้ไม่คับแคบนัก ก่อนจะลงมือแสดงจะต้องไหว้ครูกันก่อน จากนั้นก็ถึงการต่อสู้ ปี่ชวาจะขึ้นเพลงเร่งเร้าฟังคึกคัก แตกต่างออกไปจากเพลงไหว้ครู โดยคู่ต่อสู้จะต้องรำอาวุธก่อน ซึ่งเป็นการรำที่ผสมกันระหว่างแบบนาฏศิลป์ กับแบบเฉพาะของแต่ละคณะหรือแต่ละสำนัก เป็นการอวดความสวยงามกัน ตอนรำอาวุธนี้ จะใช้ไม้รำซึ่งขัดทำอย่างประณีตงดงามมาก ท่ารำที่ถือว่าเป็นแบบอย่างของกระบี่กระบอง มี "ขึ้นพรหม" เป็นการรำโดยหันไปสี่ทิศ แล้วก็ถึงท่า "คุม" ตามแบบฉบับคือ รำลองเชิงกันโดยต่างฝ่ายต่างรุกล้ำเข้าไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง จากนั้นก็เป็นท่า "เดินแปลง" โดยการสังเกตดูเชิงกันและกัน แล้วจำไว้ว่าใครมีจุดอ่อนที่ใดบ้าง แล้วจึงคุกเข่า "ถวายบังคม" คือ กราบ ๓ ครั้ง จากนั้น จึงเปลี่ยนเครื่องไม้รำมาเป็นเครื่องไม้ตี


นักกระบี่กระบองจะต้องสวมมงคลที่ทำด้วยด้ายดิบพันเป็นเกลียว มีขนาดใหญ่เท่าเชือกมนิลา ใช้ผ้าเย็บหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ปล่อยปลายทั้งสองยื่นออก ส่วนเครื่องแต่งกายนั้นขึ้นอยู่กับความนิยม สมัยโบราณแต่งกายอย่างทหาร หรือนุ่งโจงกระเบนแบบหยักรั้ง คาดผ้าประเจียด ตะกรุด หรือนุ่งกางเกงขาสั้น การแสดงก็จะเริ่มจากการจับอาวุธต่อสู้กันเป็นคู่ๆ เช่น กระบี่กับกระบี่ พลองกับพลอง ง้าวกับง้าว พลองกับไม้สั้น จากนั้นก็สุดแต่จะยักเยื้องใช้อาวุธต่างๆ ในที่สุดก็เป็นการตะลุมบอนหรือหลายคู่ หรือการต่อสู้แบบ "สามบาน" คือ คนหนึ่งต่อสู้กับอีก ๒ คน
เพลงที่ใช้นั้น เพื่อความเหมาะสมกับการร่ายรำอาวุธแต่ละอย่าง ก็มักจัดเพลงขึ้นตามความเหมาะสม เช่น กระบี่ ใช้เพลงกระบี่ลีลา ดาบสองมือ ใช้เพลงจำปาเทศหรือขอมทรงเครื่อง ง้าวใช้เพลงขึ้นม้า พลองใช้เพลงลงสรงหรือขึ้นพลับพลา การต่อสู้สามบาน ใช้เพลงกราวนอกหรือเพลงฝรั่งรำเท้า

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกีฬากระบี่กระบอง

ความหมายและความสำคัญของกระบี่กระบองกระบี่กระบองเป็นกีฬาประเภทการต่อสู้ ป้องกันตัวดั้งเดิมของไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งดัดแปลงมาจากลักษณะและรูปแบบการรบในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นการรบระยะประชิด ตะลุมบอน เสียมากกว่าการรบระยะไกลดังเช่นในปัจจุบัน อาวุธที่ใช้ในสมัยนั้นได้แก่ กระบี่ ดาบ โล่ ดั้ง ง้าว พลอง เป็นต้น
สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้อธบายคำว่า กระบี่กระบองไว้ว่า เป็นการละเล่นเชนิดหนึ่งของไทย จัดอยู่ในจำพวกกีฬาไทย ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล นิยมฝึกหัดและเล่นกันในยามสงบ เพื่อนำไปใช้ต่อสู้กับศัตรูในยามรบนั่นเอง
ความหมายและความสำคัญของกระบี่
ความหมายของกระบี่ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับพ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่า
กระบี่ ๑
(กลอน) น. ลิง เช่น ขุนกระบี่มีกำลังโดดโลดโผน กระโจม
โจนจับยักษ์หักแขนขา. (รามเกียรติ์ ร. ๒). (ป., ส. กปิ).
กระบี่ ๒
น. อาวุธชนิดหนึ่ง ใบแบนยาว ปลายแหลม มีคมข้างหนึ่งหรือ
ทั้ง ๒ ข้าง ด้ามสั้น ที่ด้ามถืออาจมีโกร่งหรือไม่มีก็ได้ มีฝัก.


ในทางการออกกำลังและทางพลศึกษา กระบี่ หมายถึง การเล่นชนิดหนึ่งของกีฬากระบี่กระบอง เป็นการเล่นที่ใช้อาวุธซึ่งทำด้วยหวาย หรือไม้ หรือเหล็ก เป็นเครื่องมือในการเล่นแบบต่อสู้ระยะประชิด โดยดำเนินการเล่นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และกติกา ตลอดจะประเพณีที่ดีงาม
ประวัติความเป็นมาของกระบี่กระบอง
จากการที่ในสมัยโบราณ มีศึกสงครามอยู่เป็นเนืองๆ รูปแบบการต่อสู้ในสม้ยก่อนเป็นแบบประชิดตัวตะลุมบอน อาวุธที่ใช้จึงเป็น ดาบ กระบี่ โล่ เป็นต้น ทหารไทยจึงต้องมีการฝึกฝนอาวุธเหล่านี้เพื่อให้เกิดความชำนาญอย่างสม่ำเสมอ แต่หากใช้อาวุธจริงๆมาทำการฝึกฝน อาจจะมีการพลาดพลั้งถึงขั้นพิการ หรือเสียชีวิตได้ จึงมีการจำลองเครื่องอาวุธดังกล่าวขึ้นโดยใช้ไม้ หรือหวาย หรือหนังวัว หนังควาย เพื่อนำมาใช้ในการฝึกซ้อมแทนอาวุธจริง
ต่อมาบ้านเมืองสงบสุข ห่างหายจากการทำสงคราม การฝึกฝนของทหารก็ขาดการเอาจริงเอาจังเท่าที่ควร จึงมีการดัดแปลงการฝึกซ้อมต่อสุ้เสียใหม่ ให้สนุกสนานมากขึ้น โดยการจัดให้มีการแข่งขันประลองความสามารถกัน โดยใช้อาวุธจำลอง มีการกำหนดระเบียบ แบบแผนขึ้น เรียกว่า "ยุทธกีฬา" และต่อมาได้เพิ่มท่าร่ายรำ และสืบสานต่อกันมาจนเป็นประเพณีวัฒนธรรม และการละเล่น ในปัจจุบัน ได้ถูกจัดให้เป็นกิจกรรมทางพลศึกษาที่มีคุณค่าสูง
กระบี่กระบองในสมัยรัตนโกสินทร์
แต่เดิมกีฬากระบี่กระบองถือเป็นกีฬาของพระมหากษัตริย์ ซึ่งการศึกษาการต่อสู้อยู่ในศาสตร์ 18 ประการของกษัตริย์เช่นกัน ต่อมาได้มีการแพร่หลายสู่ประชาชนอ่างกว้างขวางในตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์
ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.4 ถือเป็นยุคเฟื่องฟูอย่างยิ่งเนื่องจากทรงโปรดปรานในการเล่นกระบี่กระบองอย่างมาก และมีการจัดการเล่นแสดงกันอย่างแพร่หลายในงานสมโภชต่างๆ เช่น โกนจุก บวชนาค กฐิน เป็นต้น
เมื่อมาถึงสมัยรัชการที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดการละเล่นกระบี่กระบองอย่างมาก และมีครูมวย ครูดาบที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นหลายคน ในปี พ.ศ. 2449 มีการสอนกระบี่กระบองอย่างเป็นแบบแผนขึ้นที่ สามัคคยาจารย์สมาคม โดยมี ขุนยี่สารสรรยากร หรือ ครูแสงดาบ เป็นผู้ทำหน้าที่สอน และเผยแพร่ขยายตัวออกไปอย่างมากมาย

ถือกำเนิดปูชนียบุคคล


ในสมัย รัชการที่ 6 กระทรวงศึกษาธิการจัดงานกรีฑาประจำปีขึ้น ในปี พ.ศ.2460 และ พ.ศ.2462 และในการนี้ อาจารย์นาค เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา ซึ่งในวงการกระบี่กระบองได้ยกย่องให้ท่านเป็น บิดาแห่งวิชากระบี่กระบองสมัยใหม่ ได้ร่วมแสดงถวายให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรทั้งสองครั้ง


ในสมัยรัชกาลที่ 7 การเล่นกระบี่กระบองเริ่มซบเซาลง แต่มีการบรรจุวิชากระบี่กระบองเข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนนายร้อยทหารบก เรียกว่า วิชาอาวุธโบราณ ในปี พ.ศ. 2468

และเมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 8 กีฬากระบี่กระบองกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง และอาจารย์นาค เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา ได้ทำการบรรจุวิชากระบี่กระบองให้แก่นักศึกษาพลศึกษาใน พ.ศ. 2478 และต่อมาในปี พ.ศ.2479 จึงได้ทำการบรรจุวิชากระบี่กระบองเข้าไว้ในหลักสูตรของประโยคผู้สอนพลศึกษา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อมาถึง พ.ศ.2518 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายใหม่ และได้มีการกำหนดให้วิชากระบี่กระบองเป็นส่วนหนึ่งของวิชาพลศึกษา ในรายวิชาบังคับ ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 และต่อมาในปี พ.ศ.2521 กระทรวงศึกษาฯได้ประกาศหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นตามแนวแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2520 และได้กำหนดวิชากระบี่ 1 เป็นวิชาบังคับเรียนในช้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นับแต่นั้นมา

ประโยชน์และคุณค่าของการเล่นกระบี่กระบอง

  1. เป็นการฝึกศิลปะการต่อสุ้ป้องกันตัว ในยามที่เกิดอันตราย
  2. เป็นการออกกำลังกายที่ดี
  3. เสริมสร้างคุณลักษณะทางจิตใจ
  4. สร้างเสริมความรู้สึกภาคภูมิใจในศิลปะประจำชาติ
  5. รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทย
  6. ประหยัด
  7. เป็นวิชาที่ทรงคุณค่ายิ่ง





กีฬาฟันดาบ



ประวัติกีฬาฟันดาบสากล
ในสมัยยุคกลาง ( ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 ) ดาบถูกใช้เป็นอาวุธในเชิงรุกใช้สำหรับทำลาย เกราะและเสื้อเกราะ ต่อมาใช้สำหรับการรบในระยะประชิดตัว หลังจากพ้นวิถีอาวุธปืน พัฒนาการของดาบนั้นดำเนินการต่อเนื่องมีใช้กันอย่างแพร่หลายในเอเชียและยุโรป เมื่อเกราะ ขนาดใหญ่เริ่มที่จะล้าสมัย ดาบจึงถูกใช้เป็นอาวุธสำหรับการตั้งรับและดีพอๆกับการใช้เป็นอาวุธในเชิงรุก ในศตวรรษที่ 16 ดาบชนิดเรียวตรงเริ่มเป็นที่รู้จักใน อิตาลี ศิลปะการใช้ดาบเริ่มแพร่หลายอย่างรวดเร็วอีกในหนึ่งดาบสั้นสองคมและโกร่งดาบได้ถูกพัฒนาให้มีส่วนหนาและบางเพื่อเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของเกราะและได้ถูกนำเข้ามาเป็นเครื่องมือพิสูจน์ ความกล้าและเก่ง เช่นอัศวินผู้กล้าในสมัยโบราณโดยไม่ประสงค์ที่จะให้คู่ต่อสู้ถึงแก่ชีวิตในสนามประลองในทางปฏิบัติทั่วๆไปแขนที่ไม่มีดาบคือแขนซ้ายจะปล่อยเป็นอิสระ และพยายามทำแขนที่ถือดาบเป็นตัวปิดป้องเป้าหมายให้เหลือน้อยที่สุด
ประวัติฟันดาบในประเทศไทย
การฟันดาบในประเทศไทยเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2478 แต่ไม่ได้ดำเนินการมาโดยต่อเนื่อง จนถึงปี พ.ศ. 2508 กีฬาฟันดาบจึงได้รับความสนใจจากประชาชนแต่เป็นเพียงส่วนน้อย และค่อยๆ ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ สมาคมนักฟันดาบสมัครเล่นฯจึงได้เกิดขึ้น และได้แพร่หลายไปในต่างประเทศ
กีฬาฟันดาบถือได้ว่าเป็นกีฬาสมัยใหม่ที่สุด เพราะมีการพัฒนาที่เป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ผู้ที่เล่นกีฬานี้ยังคงพัฒนาตามวิวัฒนาการ เพราะจะยึดถือแบบอย่างเดิมอีกต่อไปไม่ได้ จำเป็นต้องมีแนวความคิดหรือหลักนิยมใหม่ที่เหมาะสมในการที่จะบรรลุความสำเร็จ ฟันดาบเป็นกีฬาที่มีค่านิยมน้อย แต่มีคุณธรรมสูง ซึ่งความนิยมอาจถึงจุดอิ่มตัว แต่คุณธรรมไม่รู้จักอิ่มตัวและย่อมแสวงหาให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
การใช้ดาบชนิดเรียวตรงและเทคนิคดาบของอิตาลีได้แพร่หลายไปทั่วยุโรป เฉพาะในฝรั่งเศสและอิตาลีขนาดและรูปร่างของดาบชนิดเรียวตรงได้รับการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ มีผลทำให้ความยาวและน้ำหนักถูกปรับแต่งจนจับถือได้สะดวกขึ้น ในศตวรรษที่ 18 ดาบขนาดเล็กหรือดาบเอเป้ได้ถูกสร้างขึ้นและแพร่หลายในฝรั่งเศสอาวุธชนิดใหม่นี้เป็นเป็นผลการรวมของลักษณะเด่นของดาบอิตาลีและฝรั่งเศสอิตาลีใช้ดาบชนิดเรียวตรงในการแสดงความกล้าหาญการใช้เสียงท่าทางที่ดูเข้มแข็ง ฝรั่งเศสใช้ดาบเอเป้ในลักษณะที่เป็นทางการมากๆการควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างดีรูปแบบดาบของฝรั่งเศสเริ่มที่จะมีชื่อเสียงมากขึ้นกฎที่เป็นทางการส่วนใหญ่ที่ใช้ในการแข่งขันยุคสมัยใหม่และศัพท์ในรูปแบบต่างๆ ของดาบสากลส่วนใหญ่จะใช้ภาษาฝรั่งเศส
ในศตวรรษที่ 19 การต่อสู่โดยทั่วไปเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และโรงเรียนสอนฟันดาบเริ่มเปลี่ยนมาเป็นการสอนฟันดาบเพื่อการกีฬา อุปกรณ์ส่วนใหญ่ยังคงใช้และถูกพัฒนาในตอนนี้ด้วยรวมทั้งถุงมือที่สวมในข้างที่ถือดาบ ปลาสตอง ( เกราะอก) และหน้ากากที่ถักด้วยเส้นตาขายเหล็ก
กติกาฟันดาบ
การเริ่มต้นการแข่งขัน
ผู้แข่งขันทั้ง 2 ฝ่ายจะยืนหันข้างให้กับประธานการแข่งขัน โดยทั้งคู่จะยืนห่างจากเส้นแบ่งแดน 2 เมตรประธานกรรมการจะขานเตรียมพร้อม เมื่อผู้เข้าแข่งขันเตรียมพร้อมแล้วจะขานเริ่มแข่ง ประธานการแข่งขันจะขานหยุด เพื่อหยุดชะงักการแข่งขัน เมื่อ
1. มีการใช้ท่าอันตราย
2. ผู้เข้าแข่งขันไม่มีเครื่องป้องกัน
3. ผู้เข้าแข่งขันออกนอกพื้นที่เข้าแข่งขัน
ถ้าการแทงก่อนการหยุดชะงักเป็นการแทงที่ได้ผล ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 ฝ่าย จะมายืนอยู่หลังเส้นป้องกัน แต่ถ้าเป็นการแทงที่ไม่ได้ผล จะเริ่มเล่นตรงจุดที่เกิดการชะงัก
การฟันก่อนที่ประธานจะกล่าวขานว่าเริ่มเล่น หรือจากขานว่าหยุด จะถือเป็นโมฆะ
ในการแข่งขันประเภทดาบฟอยล์และซาเบอร์โดยไม่ใช้อุปกรณ์แจ้งไฟฟ้า ผู้เข้าแข่งขันจะเปลี่ยนแดนกันเมื่อฝ่ายหนึ่งได้คะแนนครึ่งหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ประกอบด้วย
1. ประธานการแข่งขันทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขัน
2. กรรมการให้คะแนน 4 คน ถ้าใช้อุปกรณ์แจ้งคะแนนไฟฟ้า จะใช้กรรมการให้คะแนน 2 คน
3. กรรมการบันทึกคะแนน
4. กรรมรักษาเวลา
ระยะเวลาการแข่งขัน
สำหรับประเภทชายใช้การแข่งขัน 6 นาที ผู้ชนะคือผู้ทำได้ 5 คะแนนก่อน ส่วนดาบฟอยล์หญิงใช้เวลาแข่งขัน 5 นาที ผู้ชนะคือผู้ที่ได้ 4 คะแนนก่อน ถ้าจบการแข่งขันแล้วได้คะแนนเท่ากัน ประเภทดาบฟอยล์และดาบซาเบอร์จะทำการแข่งขันกันต่ออีกหนึ่งรอบ ผู้ที่ได้คะแนนมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ ส่วนประเภทเอเป้จะปรับแพ้ทั้งคู่
การให้คะแนน
คะแนนที่ได้จากการฟัน ( Hit ) ผู้เข้าแข่งขันจะต้องฟันคู่ต่อสู้ตรงเป้าหมายด้วยปลายดาบ ในประเภทดาบซาเบอร์การฟันถูกริมหรือบนสามส่วนแรกของขอบหลังของเป้าก็ถือว่าได้คะแนนในขณะที่ฟัน ผู้เข้าแข่งขันจะต้องอยู่ในพื้นที่เข้าแข่งขันเท่านั้นจึงจะได้คะแนน การแทงที่ออกนอกเป้าสำหรับดาบฟอยล์และดาบซาเบอร์จะนับว่าได้คะแนนถ้าผู้เข้าแข่งขันที่ถูกแทงเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อหลบหนีการถูกแทงตรงเป้าหมาย การแทงที่พลาดเป้าหมายจะทำให้จังหวะการแทงยุติลง
การฟันที่ได้คะแนน
ประธานกรรมการจะเป็นผู้ตัดสินการได้คะแนนจากการฟัน หรือลงโทษเนื่องจากทำผิดกติกา โดยกรรมการให้คะแนนจะใช้การยกมือเป็นสัญญาณเพื่อแจ้งต่อประธานกรรมการเมื่อมีการฟันที่ได้คะแนน ซึ่งการฟันจะต้องมีความแม่นยำและจังหวะดีจึงจะได้คะแนน
การโจมตีและป้องกัน
ในการแข่งขันประเภทดาบฟอยล์และซาเบอร์ การแทงที่จะได้คะแนนจะเกิดจากการเคลื่อนที่ที่ถูกต้อง และมีจังหวะที่ดีของผู้เข้าแข่งขัน โดยทั่วไปเมื่อถูกโจมตีฝ่ายรับจะต้องก้าวถอยหลังก่อนที่จะแทงตอบ ฝ่ายรุกคือผู้เข้าแข่งขันที่เหยียดแขนข้างที่ถือดาบฟันที่เป้าหมาย และยังเป็นฝ่ายรุกจนเมื่อฝ่ายรับถอยหลังตลอด ในกรณีของการโจมตีหลายจังหวะฝ่ายรับอาจจะฟันเพื่อให้ฝ่ายรุกหยุด โดยฟันตามจังหวะเมื่อถูกโจมตี คอยหันข้างย่อตัว ตั้งหลักก้าวรุก หรือใช้ทักษะผสมในการตอบโต้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วของการเคลื่อนที่ รวมทั้งจังหวะและความยากของการโจมตี ส่วนการแข่งขันประเภทดาบเอเป้ การฟันจะไม่มีจังหวะและไม่มีลำดับของการเคลื่อนที่นอกจากนี้ในการแข่งขันทุกประเภทอนุญาตให้เข้าโจมตีด้วยวิธีการก้าววิ่งได้
การทำผิดกติกาและการกำหนดคะแนนโทษ
1. การต่อสู้ประชิดตัวอนุญาตให้ทำได้ในกรณีที่ผู้เข้าแข่งขันถือและใช้อาวุธได้อย่างถูกต้อง
2. การปะทะตัวกันสำหรับการแข่งขันประเภทฟอยล์และซาเบอร์ จะใช้การเตือนเป็นการลงโทษครั้งแรก หลังจากนั้นถ้ากระทำผิดอีกจะถูกปรับเป็นถูกแทง 1 ครั้ง ส่วนประเภทดาบเอเป้ การปะทะตัวกระทำได้เมื่อไม่เจตนาและไม่รุนแรง
3. อนุญาตให้ผู้เข้าแข่งขันก้มตัวต่ำและหมุนตัวได้
4. มือที่ไม่มีอาวุธอาจแตะถูกพื้นสนามได้ แต่ถ้าผู้เข้าแข่งขันแตะถูกตัวกัน ประธานกรรมการอาจสั่งหยุด และให้จัดตำแหน่งใหม่
5. การฟันในจังหวะที่สวนกันถือว่าไม่ผิดกติกา แต่ถ้าหลังจากการที่สวนผ่านไปแล้วจะไม่นับคะแนน
6. การข้ามเขตแดนทำได้โดยประเภทดาบฟอยล์ต้องไม่เกิน 1 เมตรและไม่เกิน 2 เมตร สำหรับประเภทดาบเอเป้และซาเบอร์
7. การฟันนอกพื้นที่แข่งขันไม่นับคะแนน
8. การข้ามเขตแดนด้านข้างเพื่อหลบการฟัน จะถูกลงโทษเป็นการถูกแทง 1 ครั้ง ถ้าถูกเตือนมาก่อนแล้ว รวมทั้งการข้ามเขต หลังด้วย
9. การถ่วงเวลาการแข่งขันจะถูกเตือนและปรับเป็นถูกฟัน 1 ครั้ง
10. การฟันที่ไม่ถูกต้อง รุนแรง และไม่เหมาะสมจะถูกลงโทษโดยการเตือน
11. การไม่เชื่อฟังกรรมการครั้งแรกจะถูกเตือน ครั้งที่สองจะถูกปรับเป็นถูกฟัน 1 ครั้ง และถูกไล่ออกจากการ แข่งขันสำหรับครั้งที่สาม
12. อาวุธต้องถือด้วยมือข้างใดข้างหนึ่ง การเปลี่ยนมือถืออาวุธจะต้องขออนุญาตจากกรรมการก่อน
13. ผู้เข้าแข่งขันจะขว้างอาวุธไม่ได้ และมือจะต้องจับด้ามดาบเสมอ
14. ห้ามไม่ให้ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือดาบ เพื่อเป็นการป้องกันหรือโจมตี
15. การฟันที่ไม่ใช้มือข้างที่ถืออาวุธถือเป็นโมฆะ
16. การจงใจหรือเจตนาทำผิดกติกาอาจถูกคะแนนได้
ชุดและอุปกรณ์ฟันดาบ
1. ตัวดาบทำจากโลหะผสมมีความหยุ่นเหนียวไม่แข็งเปราะมีหลายเกรด ชนิดที่ได้รับการรับรองจาก FIE ในการแข่งขันระดับสากลเมื่อเวลาที่เกิดความเค้นในใบดาบมากจนหักจะมีรอยหักที่เรียบไม่มีคม มี ประเภทตามประเภทการแข่งขันได้แก่ oil, Epee และ Sabre Foilมีลักษณะเรียวเล็กหน้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสปลายดาบมีสวิทช์ต่อกับสายทองแดงอ่อน 1 เส้นฝังติดกับใบดาบ ใช้สำหรับแทง โกร่งดาบเป็นแผ่นจานวงกลมขนาดเล็กแบน
Epee มีขนาดใหญ่กว่า Foil หน้าตัดเป็นรูปตัว V ปลายดาบมีสวิทช์เช่นกันต่อกับสายทองแดงอ่อน 2 เส้น ใช้สำหรับแทง โกร่งดาบรูปทรงลักษณะคล้ายขันน้ำมีขนาดใหญ่กว่า Foil
Sabre มีลักษณะเพรียวบางแบนหน้าตัดคล้ายตัว I หรือ Y ปลายมนไม่มีสวิทช์และสายไฟ ใช้สำหรับฟัน (จะแทงก็ได้) โกร่งดาบลักษณะคล้ายกระบี่หวายของไทย
2. ชุดที่ใช้ในการแข่งจะมี 2 ส่วนคือเกราะอ่อน (Plastron) สวมชั้นในและเสื้อแข่ง (Jacket) กับกางเกงแข่ง (Breeches/Knickers) สวมชั้นนอกแต่ละชิ้นผสมเส้นใย Kevlar เหมือนกับที่ใช้ในเสื้อเกราะกันกระสุนสามารถรับแรงกด 800 นิวตันตามมาตรฐาน FIE สำหรับผู้หญิงจะมีเกราะพลาสติกแข็งใส่ชั้นในสำหรับป้องกันหน้าอก (Breast/Chest protector) และยังมีเกราะช่วงล่างสำหรับผู้ชาย (Under shorts) แต่ไม่ค่อยมีคนใช้กัน และมีสนับข้อศอก (Sabre elbow) สำหรับ Sabre ด้วย
3. รองเท้าออกแบบให้เหมาะกับลักษณะการก้าวเดินของท่าดาบส้นเท้าตัดเฉียงมีพื้นแข็งแต่ไม่ลื่นและไม่ฝืดเกินไปสามารถงอขึ้นได้ตามการขยับเท้าแบบปกติแต่จะงอลงได้ลำบากช่วยกันการบาดเจ็บจากการเดินสเต็ปของ Fencing บางรุ่นจะมีล๊อคข้อเท้ากันการพลิกด้านข้างด้วย
4. หน้ากาก (Mask) เป็นตาข่ายโลหะเคลือบสีบางรุ่นบริเวณช่วงตาจะใช้พลาสติกใสเพื่อเพิ่มทัศนวิศัยแต่ไม่เป็นที่นิยมนัก ส่วนป้องกันคอเป็นผ้าแบบเดียวกับที่ทำชุดแข่งรับแรงได้ 1600 นิวตัน กรณีของ Sabre จะเป็นโลหะไม่เคลือบสีและส่วนที่เป็นผ้าจะมีการทอเส้นโลหะผสมลงไปเพื่อนำไฟฟ้า
5. Body cord/Body wire เป็นสายไฟเชื่อมต่อระหว่างตัวดาบและเครื่องแต่งกายที่เป็นอุปกรณ์นำไฟฟ้ากับรอกสายไฟฟ้าสำหรับ Foil และ Sabre เป็นสายไฟ 3 เส้นปลายข้างหนึ่งเป็นหัวเสียบ 3 ขาต่อกับรอกสายไฟฟ้าอีกปลายแยกเป็น 2 เส้นต่อกับหัวเสียบ 2 หัวต่อกับตัวรับที่ดาบ และอีกเส้นจะเป็นตัวหนีบติดกับเสื้อไฟฟ้าสำหรับ Epee เป็นสายไฟ 3 เส้นปลายทั้งสองข้างเป็นหัวเสียบ 3 ขาต่อกับรอกสายไฟฟ้าและดาบ
6. เสื้อไฟฟ้า (Lames) สำหรับ Foil และ Sabre เป็นเสื้อที่มีการทอเส้นโลหะผสมอยู่ในเนื้อผ้ามีคุณสมบัตินำไฟฟ้าได้  สำหรับ Foil จะปิดเฉพาะลำตัวมีทรงคล้ายชุดว่ายน้ำแบบชิ้นเดียวของผู้หญิง สำหรับ Sabre จะมีทรงเป็นเสื้อแขนยาวและส่วนใต้เอวจะไม่นำไฟฟ้า
7. ถุงมือ (Glove) ทำจากผ้าและหนังทำให้การจับดาบกระชับไม่ลื่นและป้องกันการเสียดสีระหว่างมือกับด้ามจับ สำหรับ Sabre บางรุ่นจะมีการเสริมบริเวณหลังมือป้องกันการบาดเจ็บจากการตีที่มือ
8. ปลอกแขนไฟฟ้า (Sabre cuff) และถุงมือไฟฟ้า (Sabre glove) สำหรับ Sabre เป็นปลอกแขนทอเส้นโลหะแบบเดียวกับเสื้อไฟฟ้าใช้สวมทับถุงมือ บางแบบก็เป็นถุงมือใช้ใส่แทนถุงมือธรรมดา
9. คลิปหนีบหน้ากาก (Mask connector) เป็นสายไฟทองแดง 1 เส้นปลายสองข้างเป็นตัวหนีบใช้สำหรับเชื่อมวงจรระหว่างเสื้อไฟฟ้า Sabre กับหน้ากากไฟฟ้า
10. ถุงเท้ายาว (ควรเป็นสีขาว)
ประเภทของดาบ
กีฬาฟันดาบเป็นกีฬาที่พัฒนามาจากการใช้ดาบในการต่อสู้ของคนสมัยโบราณชาติที่มีชื่อเสียงในกีฬาฟันดาบ ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี โรมาเนีย เป็นต้น ดาบที่ใช้ในการแข่งขันแบ่งออกเป็น ชนิดคือ ดาบฟอยล์ ( The Foil ) ดาบเอเป้ ( The Epee ) และดาบซาเบอร์ ( The Sabre )
1. ดาบฟอยล์ ต้องหนักไม่เกิน 200 กรัม ส่วนที่เป็นใบต้องมีความยืดหยุ่นประมาณ      5.5  9.5 เซนติเมตร ถ้าแขวนของหนัก 200 กรัม ที่กระบังดาบ และใบดาบจะต้องคงตัวไม่ยืดหยุ่นจากปลายดาบ 70เซนติเมตร สำหรับดาบฟอยล์ไฟฟ้า แสงไฟจะปรากฎเมื่อมีแรงกดที่ปลายดาบมากกว่า 500 กรัม
2. ดาบเอเป้ หรือดาบดวลต้องหนักไม่เกิน 700 กรัม ใบดาบต้องเหยียดตรงให้มากที่สุด     มีความยืดหยุ่นตัวประมาณ 4.5 - 7 เซนติเมตร (วิธีวัดเช่นเดียวกับดาบฟอยล์) สำหรับดาบเอเป้ไฟฟ้า การฟันจะต้องใช้แรงกดที่ปลายดาบมากกว่า 750 กรัมแสงไฟจึงจะปรากฎ
3. ดาบซาเบอร์ ต้องหนักไม่เกิน 500 กรัม ใบดาบต้องไม่ยืดหยุ่นหรือตึงจนเกินไป ถ้ามีรอยโค้งต้องโค้งตลอดแนวน้อยกว่า 4 เซนติเมตร และต้องไม่โค้งในทิศทางเดียวกับสันดาบข้างที่ใช้ฟัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น